บทที่ 12 คุณชายจางหนิงอ้าย 3 (จบ)
"เช่นนั้นข้าขอดูวิญญาณยุทธ์ของเจ้าได้หรือไม่?" หนิงอ้ายถามออกไปด้วยความอยากรู้
วิญญาณยุทธ์ราชากระบี่กลืนโลหิต สถิตร่าง!!
วูบ!
บนฝ่ามือของลู่ซีปรากฎเป็นกระบี่สีแดงฉานเล่มเล็กที่หมุนวนโดยรอบ สร้างความแปลกใจให้กับนที ผู้ที่คุ้นเคยในเรื่องราวหลักการของวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้
"นี่คือวิญญาณยุทธ์ของข้า สังกัดปราณธาตุลมสายสนับสนุนขอรับ..." ลู่ซีได้สลายกระบี่ที่ลอยอยู่บนฝ่ามือให้หายไปราวกับว่าก่อนหน้าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
จากนั้นลู่ซีได้พูดคุยในเรื่องราวต่าง ๆ อย่างมากมายกับหนิงอ้าย ไม่คาดคิดว่าสิ่งเหล่านี้ที่ได้รับรู้และทำความเข้าใจให้มากขึ้น ค่อนข้างเหนือกว่าจินตนาการรับรู้ของนทีเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
เป็นเวลาหนึ่งแล้วเดือนที่นทีได้เข้ามาอยู่ในร่างของจางหนิงอ้ายคนนี้ ทุกวันเขามักจะออกกำลังอยู่เสมออีกทั้งยังนั่งดูดซับปราณฟ้าดินที่ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกาย
จริงอยู่ที่ว่าเขาจะยังไม่ได้ปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนเต็มตัวก็จริง แต่เพราะหนิงอ้ายคนเดิมได้ศึกษาตำราเกี่ยวกับวิถีของผู้ฝึกตนอยู่บ้างจึงพอทราบในเรื่องของจุดพลังปราณในร่างกายทั้ง361จุด และตรงใจกลางนั้นจะมีสิ่งที่เรียกว่าจุดตันเถียรที่เป็นเหมือนกับจุดกักเก็บพลังลมปราณของร่างกายที่สำคัญของผู้ฝึกตน
ดังนั้นเขาจึงคิดว่าแม้ไม่อาจปลุกพลังลมปราณได้ในตอนนี้แต่การโคจรพลังลมปราณไปตามเคล็ดวิถีพื้นฐาน เมื่อทำอย่างนี้สม่ำเสมอจึงส่งผลให้ร่างกายที่เคยบอบบางไร้เรี่ยวแรง ในแต่ตอนนี้กลับดูสมบูรณ์และมีเรี่ยวแรงมากกว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมากอีกทั้งยังสัมผัสได้ว่าจุดตันเถียรของเขามีพลังวิญญาณสะสมไหลเวียนมากขึ้นตามลำดับ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกดีเป็นอย่างมาก
"ไม่คาดคิดว่าร่างกายของข้าจะสามรถดูดซับลมปราณได้รวดเร็วถึงเพียงนี้..." นทีเอ่ยขึ้นพร้อมกับระบายยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ
"ตอนนี้คุณชายดูแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมยิ่ง ไม่น่าเชื่อว่าคนทั่วไปก็สามารถใช้ประโยชน์จากการชักนำลมปราณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายได้เช่นกัน" ลู่ซีพูดด้วยความชื่นชม
"นั่นเป็นเพราะว่าร่างกายนี้แต่เดิมก็สามารถปลุกพลังวิญญาณได้อยู่แล้วจึงมีการตอบสนองต่อการดูดซับปราณฟ้าดินเช่นนี้ ไม่รู้ว่าในครั้งนั้นได้เกิดกลโกงสิ่งใดกัน ผลจึงปรากฎว่าข้าเป็นผู้ไร้พลังวิญญาณเสียได้!" หนิงอ้ายพูดออกมาตามที่ตนคิดเอาไว้
เพราะจางหนิงอ้ายคนนี้มีบิดามารดาที่เป็นผู้ฝึกตนที่ไม่ธรรมดาสามัญ จึงมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมากที่อีกฝ่ายจะเป็นผู้ไร้พลังวิญญาณ และการที่เขาสามารถชักนำลมปราณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายได้เช่นนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ความความจริงแล้วเขาก็สามารถเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนได้เช่นกัน
แต่ข้อเสียสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้ปลุกพลังวิญญาณเช่นเขานั้น แม้ว่าจะสามารถชักนำปราณฟ้าดินเหล่านี้ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกาย ผ่านจุดตันเถียรได้ก็จริงแต่เพราะไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่แท้จริงจึงยังไม่สามารถกักเก็บพลังปราณเหล่านี้ในจุดตันเถียรได้เหมือนกับผู้ฝึกตนที่แท้จริง ดังนั้นเขาจึงต้องคอยนั่งโคจรพลังลมปราณฟ้าดินอย่างสม่ำเสมอเช้าเย็นเพื่อทะลวงเส้นปราณในร่างกายทั้ง361จุด เพื่อทะลวงให้จุดพลังลมปราณเหล่านี้บริสุทธิ์มากเพียงพอ
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหนิงอ้ายนั่งดูดซับปราณฟ้าดินเหล่านี้ให้ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างราบรื่นไร้ซึ่งการต่อต้านใด ๆ ทั้งสิ้น ประสาทสัมผัสทั้งห้าผสานเข้าเป็นหนึ่งไม่แบ่งแยก นอกจากความแข็งแกร่งทางร่างกายที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวันแล้ว
ความสามารถพิเศษของเขาในโลกเดิมยังคงติดตามมาด้วย แต่ด้วยเพราะร่างกายนี้ยังไร้ซึ่งในความสมดุลอีกหลายด้าน เขาจึงคิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยหรือหลังจากปลุกพลังวิญญาณสำเร็จ ถึงตอนนั้นเขาคงต้องเร่งพัฒนาความสามารถเดิมของเขาเสียทีเพราะสิ่งนี้นับได้ว่าเป็นประโยชน์กับเขามาเลยทีเดียว
‘ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าจะอยู่ที่ไหนข้าขออวยพรให้ชีวิตหลังจากนี้มีแต่ความสุข มีอิสระสามารถทำทุกอย่างที่ปรารถนาโดยที่ไม่ต้องสนถ้อยคำอื่น ส่วนข้าที่ได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในร่างนี้ขอสัญญาว่าข้าจะทำให้ชื่อของเจ้าเป็นที่รู้จักและทุกคนจะได้รับรู้ว่าหนิงอ้ายผู้นี้มากไปด้วยความสามารถเพียงใด...’ นทีเอ่ยขึ้นในใจเพื่อส่งสารไปถึงเจ้าของร่างเดิมและหวังว่าอีกฝ่ายจะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขเช่นเดียวกับเขาในทุกวันนี้
หนิงอ้ายใช้เวลาในยามกลางวันไปกับการเรียนรู้ทบทวนศาสตร์ตำราเป็นส่วนใหญ่ ในยามกลางคืนเขาเลือกที่จะนั่งดูดซับลมปราณฟ้าดินเพื่อชักนำเอาพลังบริสุทธิ์เหล่านี้ไหลเวียนในร่างกายผ่านจุดตันเถียรให้ได้มากที่สุด
แน่นอนว่าจิตวิญญาณของเขาคือชายหนุ่มอายุยี่สิบปีที่ผ่านเรื่องราวความสุข ความทุกข์มาอย่างมากมาย ดังนั้นเพื่อก้าวเข้าสู่ความสำเร็จและเป้าหมายที่วางไว้ เส้นทางเดียวที่ต้องมุ่งมั่นไปให้ถึงที่สุดนั่นคือการฝึกฝนตัวเองให้แข็งแกร่งที่สุดเพียงเท่านั้น...
